Zoning การออกแบบโรงพยาบาล

ฟังก์ชันและการแบ่งโซนในโรงพยาบาล

เข้าใจระบบพื้นที่ในโรงพยาบาล เพื่อออกแบบอาคารที่ปลอดภัย ใช้งานได้จริง และเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน

โรงพยาบาลไม่ใช่แค่ “อาคารที่มีเตียงคนไข้” แต่เป็นระบบที่ซับซ้อน ซึ่งต้องตอบโจทย์ทั้งการรักษา การป้องกันการติดเชื้อ และประสบการณ์ของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่
การเข้าใจ ฟังก์ชัน และ โซนต่าง ๆ ของโรงพยาบาล จึงเป็นหัวใจสำคัญของงานออกแบบสถาปัตยกรรมด้านสุขภาพ


ฟังก์ชันหลักของโรงพยาบาล (Hospital Functions)

แต่ละโรงพยาบาลมีวัตถุประสงค์หลักคือให้บริการรักษาพยาบาลอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และตอบสนองผู้ใช้งานหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย ญาติ เจ้าหน้าที่ หรือชุมชน โดยฟังก์ชันสำคัญได้แก่:

  • การวินิจฉัยและรักษา (Diagnosis & Treatment): คลินิกผู้ป่วยนอก ห้องผ่าตัด หน่วยรังสีวินิจฉัย
  • การดูแลผู้ป่วยใน (In-patient Care): หอผู้ป่วยสามัญ ICU และห้องพักพิเศษ
  • การตอบสนองกรณีฉุกเฉิน (Emergency & Trauma): แผนกฉุกเฉินที่มีจุดรับส่งผู้ป่วยแยกจากทางเข้าอื่น
  • งานบริหารและสนับสนุน (Administration & Support): ห้องบันทึกข้อมูล ห้องเจ้าหน้าที่ ห้องประชุม
  • ระบบจัดการสิ่งของและของเสีย (Supply & Waste): ห้องเก็บของ สโตร์เวชภัณฑ์ ระบบแยกขยะติดเชื้อ
  • พื้นที่สนับสนุนเจ้าหน้าที่ (Staff Support): ห้องพักเปลี่ยนชุด ห้องพักผ่อน
  • พื้นที่เพื่อสุขภาวะของผู้ป่วยและชุมชน (Well-being): สวน โรงอาหาร ห้องรอ ห้องจิตบำบัด

ที่มา: Kaarwan, 2023, Hospaccx Consulting, 2024, VDBG, 2023


การแบ่งโซนในโรงพยาบาล (Hospital Zoning)

การจัดโซนในโรงพยาบาลมีจุดประสงค์เพื่อ ควบคุมการติดเชื้อ และ จัดการการไหลเวียนของคนและของ ให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

ประเภทโซนตัวอย่างพื้นที่ระดับความสะอาด
โซนป้องกัน (Protective)ทางเข้า ห้องเปลี่ยนชุด ห้องรอความสะอาดระดับต้น ป้องกันเชื้อเข้า
โซนสะอาด (Clean)ห้องฟื้นฟู ห้องเตรียมผู้ป่วย ห้องเวชภัณฑ์ความสะอาดระดับกลาง
โซนปลอดเชื้อ (Aseptic)ห้องผ่าตัด ห้องฆ่าเชื้อ ศูนย์ปลอดเชื้อความสะอาดสูงสุด
โซนสกปรก (Dirty/Disposal)ห้องแยกขยะ ห้องล้างอุปกรณ์ ห้องซักล้างความเสี่ยงติดเชื้อสูง

ที่มา: Hospaccx Consulting, 2024, Kaarwan, 2023


กลุ่มพื้นที่ใช้งานหลักในโรงพยาบาล

  1. แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (Accident & Emergency)
  2. ผู้ป่วยนอก (Outpatient / Ambulatory Care)
  3. วินิจฉัยและการรักษา (Diagnostic & Therapeutic): ห้องแล็บ X-ray, MRI, ห้องผ่าตัด
  4. ผู้ป่วยใน (In-Patient Units): หอผู้ป่วย ICU ห้องเดี่ยว
  5. งานบริหารและธุรการ (Administration & Business)
  6. งานวิศวกรรมและระบบสนับสนุน (Engineering & Support Services)

ที่มา: PMMT Arquitectura, 2023, Archdaily, 2024


หลักการออกแบบที่ควรคำนึงถึง

  • การวางพื้นที่สัมพันธ์กัน (Logical Adjacency): เช่น ห้องฉุกเฉินอยู่ใกล้ห้อง X-ray และ ICU
  • ทางเดินที่ชัดเจน (Clear Circulation): แยกเส้นทางคนไข้ เจ้าหน้าที่ และของใช้
  • ความยืดหยุ่น (Flexibility): รองรับการขยายในอนาคตหรือปรับเปลี่ยนฟังก์ชัน
  • ระบบนำทางและป้าย (Wayfinding): ลดความสับสน ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ทางโดยไม่ต้องถาม

ที่มา: ETKHO, 2023, SpanishArchitect.info, 2022


สรุป

โรงพยาบาล = ระบบซับซ้อนที่ออกแบบต้องคิดเป็น “ระบบ”
การเข้าใจหน้าที่ของพื้นที่ และการจัดโซนที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคนที่ใช้อาคาร

สำหรับนักออกแบบสถาปัตยกรรม บทบาทของเราไม่ใช่แค่ “วาดแปลนให้สวย” แต่คือการออกแบบ ระบบพื้นที่ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยืดหยุ่นต่ออนาคต


อ้างอิง
[1] https://www.krion.com/en/news/design-hospitals
[2] https://www.etkho.com/en/design-and-organization-of-critical-hospital-areas/
[3] https://arsomsilparchitect.co.th/project/ratchaphruek-hospital/
[4] https://spanisharchitect.info/design-of-sanitary-and-hospital-architecture/
[5] https://www.kaarwan.com/blog/architecture/how-to-design-hospitals-everything-you-need-to-know?id=121
[6] https://hospaccxconsulting.com/the-handbook-for-hospital-planning-and-designing-india/
[7] https://www.pmmtarquitectura.es/en/hospital-architecture
[8] https://www.archdaily.com/1012241/ratchaphruek-hospital-arsomsilp-community-and-environmental-architect
[9] https://vdbg.com/blog/architectural-design-for-hospitals-key-considerations/