ห้องตรวจ (Exam Room) และห้องปรึกษา (Consultation Room)

การออกแบบห้องตรวจและห้องปรึกษาในโรงพยาบาล: ความสะดวก ปลอดภัย และส่งเสริมประสบการณ์ผู้ป่วย

ในระบบบริการสุขภาพ ห้องตรวจ (Exam Room) และห้องปรึกษา (Consultation Room) เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างแพทย์และผู้ป่วย การออกแบบพื้นที่เหล่านี้จึงต้องใส่ใจทั้งด้านฟังก์ชัน ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว เพื่อรองรับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ


ห้องตรวจ (Exam Room)

1. ขนาดและการเข้าถึง:
พื้นที่ขั้นต่ำแนะนำอยู่ที่ 7.4–9.3 ตารางเมตร โดยต้องมีระยะว่างรอบเตียงตรวจไม่น้อยกว่า 0.8 เมตรทุกด้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงผู้ป่วยได้สะดวก และต้องมีพื้นที่หมุนตัวสำหรับรถเข็นอย่างน้อย 1.5 เมตร (เส้นผ่าศูนย์กลาง 60 นิ้ว)

(Midmark, n.d.; UNMH, 2010)

2. ผังห้องและการจัดวาง:
เตียงตรวจควรจัดวางให้สามารถเข้าถึงได้จากหลายด้าน และไม่หันตรงกับประตู เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว จุดล้างมือ โต๊ะเขียน และจุดเชื่อมต่อระบบ EHR ควรอยู่ในตำแหน่งใช้งานสะดวก

(CHD, n.d.; Church Health, 2022)

3. การควบคุมการติดเชื้อ:
วัสดุผิวสัมผัสควรเป็นแบบทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเชื้อโรค และต้องมีอ่างล้างมือหรือแอลกอฮอล์เจลทุกห้อง

(Church Health, 2022)

4. อุปกรณ์และพื้นที่จัดเก็บ:
ควรวางแผนผังให้อุปกรณ์ทางการแพทย์และตู้เก็บของอยู่ในจุดมาตรฐานเดียวกันทุกห้อง เพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ

(HFM Magazine, 2013)

5. การไหลเวียนของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่:
ห้องตรวจที่มีประตู 2 ด้าน (ด้านผู้ป่วย/ด้านเจ้าหน้าที่) จะช่วยแยกเส้นทางการเข้าออก ลดความแออัด และเพิ่มความเป็นส่วนตัว

(CHD, n.d.)

6. ความเป็นส่วนตัว:
ใช้ผ้าม่าน ฉากกั้น และวัสดุดูดซับเสียง เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยในการพูดคุยหรือทำหัตถการ

(Midmark, n.d.)


ห้องปรึกษา (Consultation Room)

1. ขนาดห้อง:
พื้นที่มาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 9.3 ตารางเมตร โดยควรมีพื้นที่สำหรับโต๊ะทำงาน เก้าอี้แพทย์ ตู้เอกสาร และเก้าอี้สำหรับผู้ป่วยหรือญาติอย่างน้อย 2 ที่นั่ง

(UNMH, 2010)

2. ฟังก์ชันการใช้งาน:
ออกแบบเพื่อการสนทนา การให้คำปรึกษา หรือการวินิจฉัยแบบไม่ใช้เครื่องมือ ตรวจร่างกายแบบเบื้องต้น หรือพูดคุยเรื่องแผนการรักษา

(CHD, n.d.)

3. การจัดวางเฟอร์นิเจอร์:
ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้แบบ face-to-face เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ผ่อนคลาย และส่งเสริมการสื่อสาร

(Midmark, n.d.)

4. ความเป็นส่วนตัวและความเงียบ:
ห้องต้องมีฉนวนเสียงเพียงพอ และไม่อยู่ใกล้แหล่งเสียงรบกวน เช่น ห้องพักเจ้าหน้าที่หรือพื้นที่สาธารณะ

(CHD, n.d.)

5. ความเข้าถึงและเทคโนโลยี:
ควรเว้นพื้นที่พอสำหรับรถเข็นผู้ป่วย และมีจุดเชื่อมต่อระบบ EHR หรือระบบสื่อสารทางไกล (Telemedicine) พร้อมใช้งาน

(Health Facility Guidelines, n.d.)


แนวโน้มการออกแบบร่วมสมัย

  • ห้องอเนกประสงค์ (Universal/Multipurpose Room): ออกแบบให้ห้องสามารถใช้เป็นได้ทั้งห้องตรวจและห้องปรึกษาในห้องเดียว ช่วยลดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และเพิ่มความยืดหยุ่น
  • การใช้รูปแบบห้องมาตรฐาน: ทุกห้องมีผังเหมือนกันเพื่อความคล่องตัวในการใช้งานและลดความผิดพลาด
  • การออกแบบรองรับอนาคต: รองรับอุปกรณ์ใหม่ ระบบ telehealth และการขยายบริการโดยไม่ต้องรื้อถอนใหญ่

(HFM Magazine, 2013; Midmark, n.d.)


สรุปตารางเปรียบเทียบ

ประเภทห้องขนาดจุดเด่นหลัก
ห้องตรวจ (Exam Room)7.4–9.3 ตร.ม.เข้าถึงง่าย สะอาด ปลอดภัย มาตรฐานเดียวกันทุกห้อง
ห้องปรึกษา (Consult Room)~9.3 ตร.ม.เงียบ เป็นส่วนตัว มีพื้นที่สำหรับผู้ป่วยและญาติ ใช้ร่วมกับระบบ EHR

อ้างอิง (References – APA Style)

Center for Health Design. (n.d.). Primary care exam room. Retrieved from https://www.healthdesign.org/tools/interactive-design-diagrams/outpatient-ambulatory-care-rooms/primary-care-exam-room

Church Health. (2022). Guidelines for clinic space design [PDF]. Retrieved from https://churchhealth.org/wp-content/uploads/2022/11/8.-Guidelines-for-Clinic-Space-Design-1.pdf

Health Facility Guidelines. (n.d.). Consult/exam room – standard component. Retrieved from https://www.healthfacilityguidelines.com/StandardComponents/ItemDetails/Consult-Exam-Room

HFM Magazine. (2013). Standard room design aims to improve patient care. Retrieved from https://www.hfmmagazine.com/articles/1288-standard-room-design-aims-to-improve-patient-care

Midmark. (n.d.). Five key factors to an effective exam room design [PDF]. Retrieved from https://www.midmark.com/docs/default-source/documents/white-paper—five-key-factors-to-an-effective-exam.pdf

UNM Health. (2010). Clinic standards – facilities management [PDF]. Retrieved from https://fm.unm.edu/standards–guidelines/documents/UNMH-Clinic-Standards_Revised04-12-10.pdf