ระบบไฟฟ้าสำหรับโรงพยาบาล

หลักการสำคัญและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลถือเป็นระบบวิศวกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของผู้ป่วยและความต่อเนื่องของการให้บริการทางการแพทย์ การออกแบบระบบนี้จึงต้องมีความน่าเชื่อถือสูง สำรองไฟได้ทันที และพร้อมรองรับการขยายตัวในอนาคต


1. การประเมินความต้องการ (Needs Assessment)

เริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการของแต่ละแผนก เช่น ห้องผ่าตัด ICU แล็บ หอผู้ป่วย เพื่อกำหนดโหลดไฟฟ้าและความเสี่ยงเฉพาะจุด รวมถึงการคำนึงถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เตียงไฟฟ้า และระบบ IT (ETKHO, 2023)


2. ความซ้ำซ้อนและความเชื่อถือได้ (Redundancy and Reliability)

โรงพยาบาลต้องมีระบบไฟฟ้าที่ “ไม่ดับ” แม้เกิดปัญหาแหล่งจ่ายหลัก โดยทั่วไปใช้โครงสร้างแบบ Dual Feed พร้อมหม้อแปลงคู่และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองแบบ 1+1 เพื่อให้ระบบทำงานต่อเนื่องแม้แหล่งใดแหล่งหนึ่งล้มเหลว (EATON, 2022)


3. ระบบไฟฟ้าสำรอง (Emergency Power)

ระบบที่จำเป็นต่อชีวิต เช่น ห้องผ่าตัด ICU ระบบเตือนภัย และไฟฉุกเฉิน ต้องมีวงจรไฟฟ้าแยกเฉพาะ พร้อมแบตเตอรี่สำรอง (UPS) และเครื่องปั่นไฟ ที่สามารถเริ่มจ่ายไฟได้ทันทีภายใน 10 วินาที และทำงานต่อเนื่องอย่างน้อย 2–4 ชั่วโมง (ORPHF, 2019)


4. การแยกวงจรไฟฟ้า (Branch Segregation)

ระบบจ่ายไฟต้องแบ่งออกเป็น 3 ประเภท:

  • Critical Branch: พื้นที่รักษาพยาบาล เช่น ห้องผ่าตัด ICU
  • Vital Branch: ระบบไฟฉุกเฉิน ลิฟต์ เตือนภัย
  • Non-Essential Branch: ไฟฟ้าในสำนักงานหรือพื้นที่ทั่วไป

เพื่อให้ระบบสำรองไฟจ่ายพลังงานเฉพาะที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ (ETKHO, 2021)


5. ความปลอดภัยและมาตรฐาน (Safety and Compliance)

ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น IEC 60364, NFPA 70, และ NFPA 99 โดยรวมถึงระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร การต่อสายดิน การติดตั้งป้ายเตือน และระบบป้องกันไฟไหม้ (CED Engineering, 2022)


6. การวางแผนเผื่ออนาคต (Future-Proofing)

ควรเผื่อกำลังของหม้อแปลง และพื้นที่ในตู้ควบคุม (DB) สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ในอนาคต เช่น เตียงไฟฟ้าเพิ่มเติม ระบบปรับอากาศ หรืออุปกรณ์ AI ทางการแพทย์ (CSE Magazine, 2023)


7. การบำรุงรักษาและการเข้าถึง (Maintenance and Access)

อุปกรณ์หลัก เช่น ตู้ไฟ สวิตช์เกียร์ และเครื่องปั่นไฟ ต้องติดตั้งในพื้นที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และไม่กระทบต่อการให้บริการปกติขณะซ่อมบำรุง (ORPHF, 2019)


8. ระบบควบคุมและตรวจสอบ (Monitoring and Control)

ระบบควรมีเซนเซอร์ตรวจจับสถานะการทำงาน พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ และควรมี Automatic Transfer Switch (ATS) ที่เปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุขัดข้อง (EATON, 2022)


ตารางสรุป

องค์ประกอบหลักข้อกำหนดหรือแนวปฏิบัติที่ดี
วิเคราะห์ความต้องการวิเคราะห์โหลด ความเสี่ยง และอุปกรณ์สำคัญแต่ละพื้นที่
ระบบซ้ำซ้อนDual Feed, หม้อแปลงคู่, เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง
ระบบไฟฟ้าสำรองUPS + Generator, วงจรแยก, เปิดใช้ได้ภายในไม่กี่วินาที
การแยกวงจรไฟฟ้าCritical / Vital / Non-Essential เพื่อจัดลำดับความสำคัญ
ความปลอดภัย/มาตรฐานเป็นไปตาม IEC, NFPA, มีระบบป้องกันไฟ/ไฟดูด
รองรับอนาคตเผื่อความจุหม้อแปลง และพื้นที่สำหรับขยายระบบ
การบำรุงรักษาเข้าถึงง่าย ซ่อมโดยไม่รบกวนการใช้งานปกติ
ระบบควบคุมATS, เซนเซอร์, ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์

สรุป

ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลต้องออกแบบด้วยความระมัดระวังสูงสุด ทั้งในด้านความปลอดภัย ความต่อเนื่อง ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวต่อเทคโนโลยีในอนาคต โดยต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ


อ้างอิง (APA Style)

ETKHO. (2023). Tips for designing a hospital electrical system. https://www.etkho.com/en/tips-for-designing-a-hospital-electrical-system/

ORPHF. (2019). Electrical installation for hospitals [PDF]. https://www.orphf.gov.hk/files/seminar/3-2019%20Seminar_Electrical%20Installations%20for%20Hospitals_v2.pdf

EATON. (2022). Reference design guide: Critical power for healthcare [PDF]. https://www.eaton.com/content/dam/eaton/markets/buildings/reference-design/eaton-guide-reference-design-healthcare-critical-power-en-us.pdf

CED Engineering. (2022). Introduction to electrical systems for medical facilities [PDF]. https://www.cedengineering.com/userfiles/An%20Introduction%20to%20Electrical%20Sys%20for%20Med%20Fac%20R1.pdf

CSE Magazine. (2023). How to design hospital electrical systems. https://www.csemag.com/articles/video-how-to-design-hospital-electrical-systems/