ระบบป้องกันอัคคีภัยในโรงพยาบาล

การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยในโรงพยาบาล: หลักการสำคัญ

โรงพยาบาลถือเป็นอาคารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัย ทั้งจากอุปกรณ์ไฟฟ้า แก๊สทางการแพทย์ หรือแม้แต่จากห้องครัว การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยจึงต้องครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการป้องกัน การตรวจจับ การระงับเหตุ และการอพยพผู้ป่วยอย่างปลอดภัย

1. การปฏิบัติตามมาตรฐาน (Code Compliance)

โรงพยาบาลต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น NFPA 101: Life Safety Code, NFPA 99: Health Care Facilities Code และกฎหมายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องทุกประการ (Fireline, 2023; IFC, 2023)

2. ระบบตรวจจับและสัญญาณเตือน (Detection and Alarms)

  • ติดตั้งระบบตรวจจับควันและความร้อนในห้องผู้ป่วย โถงทางเดิน ห้องเครื่อง และห้องครัว
  • ใช้สัญญาณเตือนแบบทั้งเสียงและแสง เพื่อรองรับผู้มีข้อจำกัดทางการได้ยินหรือการมองเห็น (Wilson Fire, 2023)

3. ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (Automatic Suppression)

  • ติดตั้งหัวฉีดน้ำอัตโนมัติ (sprinkler) ในทุกพื้นที่ดูแลผู้ป่วย ห้องเครื่อง และครัว ตามมาตรฐาน NFPA 13
  • สำหรับห้องที่มีอุปกรณ์ละเอียดอ่อน เช่น ห้องควบคุม ใช้สารดับเพลิงชนิดพิเศษ เช่น gas-based หรือ clean agent (Fireline, 2023)

4. การแบ่งโซนไฟและควัน (Compartmentalization)

  • ใช้วัสดุกันไฟสำหรับผนัง พื้น และประตูเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของไฟและควัน
  • แบ่งพื้นที่เป็น compartment เพื่อลดโอกาสการแพร่ขยายของไฟระหว่างห้องผู้ป่วยและพื้นที่เสี่ยง (เช่น ห้องแล็บ ห้องครัว) (FPA Australia, 2017)

5. เส้นทางหนีไฟและการอพยพ (Egress and Evacuation)

  • มีทางออกฉุกเฉินที่ชัดเจน ติดตั้งป้ายไฟทางออกแบบมีแสงสว่าง
  • ควรออกแบบพื้นที่ area of refuge สำหรับการอพยพแบบเป็นขั้นตอน (staged evacuation) โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่ได้
  • บุคลากรควรได้รับการฝึกซ้อมการอพยพเป็นประจำ (Dipecho LAC, 2023)

6. การป้องกันระบบไฟฟ้าและเครื่องมือแพทย์ (Equipment Protection)

  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำ และติดตั้ง surge protection สำหรับอุปกรณ์สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องฟอกไต

7. การบำรุงรักษาและการฝึกอบรม (Maintenance and Training)

  • จัดอบรมการใช้ถังดับเพลิง และทำ fire drill เป็นประจำ
  • ตรวจสอบระบบทุกชนิดเป็นรอบประจำปี โดยเฉพาะ sprinkler, alarm, และพัดลมระบายควัน (Smoke Guard, 2024)

8. การเชื่อมโยงกับหน่วยดับเพลิงท้องถิ่น (Coordination with Fire Authorities)

  • แชร์แปลนระบบดับเพลิงกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง
  • ติดตั้ง fire department connection (FDC) สำหรับระบบจ่ายน้ำฉุกเฉิน และจัดการฝึกซ้อมร่วมกับหน่วยงาน

9. ระบบไฟสำรอง (Emergency Power)

  • ติดตั้งระบบไฟฟ้าสำรองเพื่อให้ระบบที่สำคัญยังทำงานได้ในระหว่างเกิดเหตุ เช่น ระบบเตือนภัย เครื่องช่วยชีวิต และลิฟต์สำหรับการอพยพผู้ป่วย

ตารางสรุป

ประเด็นสำคัญรายละเอียด
มาตรฐานNFPA 101, NFPA 99, กฎหมายท้องถิ่น
ตรวจจับและแจ้งเตือนระบบ smoke/heat detector พร้อมสัญญาณแสง-เสียง
ดับเพลิงอัตโนมัติsprinkler และสาร clean agent ในพื้นที่เฉพาะ
แบ่งโซนผนัง/ประตูกันไฟ compartment และ smoke barrier
หนีไฟและอพยพป้ายไฟออกฉุกเฉิน พื้นที่ refuge แผนอพยพเป็นขั้นตอน
อุปกรณ์ทางไฟฟ้าsurge protector และระบบกันไฟเฉพาะสำหรับเครื่องมือแพทย์
บำรุงรักษา/อบรมตรวจระบบ/ซ้อมอพยพเป็นประจำ
ระบบไฟสำรองมี backup สำหรับระบบชีพจรสำคัญ

สรุป

การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยในโรงพยาบาลต้องใช้แนวทางแบบองค์รวม ทั้งการตรวจจับและแจ้งเตือน การควบคุมการลุกลาม การดับเพลิง การอพยพผู้ป่วย การป้องกันอุปกรณ์ และการเชื่อมโยงกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อคุ้มครองทั้งชีวิตผู้ป่วย บุคลากร และระบบโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาลอย่างรอบด้าน


อ้างอิง (รูปแบบ APA)

Fireline. (2023). Fire protection system design for healthcare facilities. Retrieved from https://www.fireline.com/fire-protection-system-design-for-healthcare-facilities-key-requirements/
FPA Australia. (2017). Fire safety of hospitals: A guide for designers. Retrieved from https://www.fpaa.com.au
International Finance Corporation. (2023). IFC life and fire safety: Hospitals. Retrieved from https://www.ifc.org
Wilson Fire Equipment. (2023). Critical life safety systems for hospitals. Retrieved from https://www.wilsonfire.com
Smoke Guard. (2024). Hospital fire safety: Importance, checklist with tips and guidelines. Retrieved from https://smokeguard.com
Dipecho LAC. (2023). Hospital fire prevention and evacuation guide. Retrieved from https://dipecholac.net